มีเรื่องมาทำให้นักร้องสาวอารมณ์ดี ลูลู่ ดวงฤดี ต้องระทึกใจกันอีกแล้ว หลังไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แต่ระหว่างทางขากลับเครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้ เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน!! ล่าสุดเธอได้มาเปิดใจถึงนาทีชีวิตในตอนนั้นกับ หนูแหม่ม สุริวิภา ในรายการ โต๊ะหนูแหม่ม พร้อมอัปเดตเรื่องงานเพลง และตอบคำถามจากแฟนคลับที่ถามมาว่าเคยคิดแยกวงกับ ลาล่า ออกมาทำผลงานเดี่ยวบ้างหรือเปล่า…
เล่าเรื่องเครื่องบินให้ฟังหน่อย ?
“ยังรู้สึกตกใจอยู่เลยเพราะปกติเราเป็นคนกลัวความสูง แล้ววันนั้นคืออากาศไม่ค่อยดีเลย ประมาณ 5 โมงเย็นคือเราบินจากจังหวัดนครพนมเพื่อมาลงดอนเมือง และก็เดินทางต่อไปที่ระยองเพื่อไปคอนเสิร์ต แต่พอ 5 โมงเย็นอีกประมาณ 10 นาทีกัปตันประกาศแล้วว่าจะลงดอนเมืองเราก็รู้สึกว่าทำไมมันถึงขึ้นอีก พอประกาศว่าลงไม่ได้เพราะอากาศไม่ดีเลย ตอนนั้นคือใจไม่ค่อยดีแล้ว เลยคิดว่าถ้าหนูตายพ่อกับแม่จะอยู่ยังไงครอบครัวจะอยู่ยังไงใครจะหาตังค์ให้เขาใช้ และถ้าตายเรายังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เลยเราก็คิดไปแบบนี้ ถ้าขึ้นไม่ได้จริงๆ คนข้างๆ นั่งอยู่กับเราคือหนูหิ่น เราก็ขอกำมือเขาเพราะคิดว่าเราไม่รู้จะเป็นยังไงก็เลยกำมือเขาจนแน่น




หลังจากนั้นเขาก็บินไปหลบที่สนามบินพิษณุโลก ซึ่งเราก็ต้องทำใจว่าอากาศที่ดอนเมืองจะลงได้อีกไหมตอนนั้นเราก็ภาวนาขอให้ลงได้แล้วก็ขอให้เจออากาศที่ไม่เป็นอะไรเลย ขอให้ทุกอย่างราบรื่น แล้วก็ไหว้พระก่อนลงเลย พอไปจอดที่พิษณุโลกเราหันไปถามหนูหิ่นว่าเธอเจ็บมือไหม เพราะเราไม่รู้ตัวเลยว่ากำแน่นขนาดไหน เพราะเราตกใจมาก ซึ่งพอมาลงเครื่องที่ดอนเมืองแล้วก็ขอบคุณเขามากๆ เลยถ้าเราทั้งคู่เป็นอะไรไปอย่างน้อยเราก็มีเพื่อนอยู่ข้างกาย ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าถ้าเราตายจริงๆ สภาพศพจะอยู่ยังไงมันจะตกลงตรงไหน ซึ่งนาทีนั้นเราก็ไม่รู้ทำไมคิดแบบนั้น หนูไม่รู้ว่าจะสวดมนต์บทไหนเผื่อจะให้หนูรอด
ถามว่าเข็ดไหม มันก็เข็ด ทุกครั้งที่เจอแบบนี้เราสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ขึ้นอีกแล้ว แต่ทุกครั้งที่เจ้าภาพจองเราก็ต้องคืนเพราะมันไกลจริงๆ ก็เลยอยากถามทุกคนว่ามีบทสวดมนต์ไหนช่วยได้บ้างเพราะตกใจมาก พีคกว่านั้นคือตอนที่เราลงเครื่องที่พิษณุโลกก็ได้ไลน์บอกแฟนว่าลงเครื่องไม่ได้ เพราะสภาพอากาศที่ดอนเมืองเป็นแบบนี้ๆ นะ แฟนก็เลยถามมาว่าได้แขวนพระไปไหม ซึ่งหนูก็ขำแต่ก็บอกเขาไปว่าหนูก็แขวน แต่ตอนนั้นไม่รู้จะรอดไหมถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ แต่พอผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ก็รู้เลยว่ากัปตันนั้นสุดยอดจริงๆ”