หลังจากที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการภาพยนตร์มาเป็นเวลายาวนาน ‘ทอม แฮงส์’ ที่กลายเป็นนักแสดงและผู้กำกับที่ได้รับการยอมรับจากคนในวงการไปแล้วก็หันมาจับงานใหม่ นั่นคือ การเขียนนิยายเรื่องแรกโดยนำเอาเรื่องราวของตัวเองนั่นแหละมาเป็นแรงบันดาลใจ
หนังสือนิยายจากปลายปากกาของนักแสดงรางวัลออสการ์คนนี้มีชื่อค่อนข้างยาวว่า The Making of Another Major Motion Picture Masterpiece โดยทอม แฮงส์บอกว่าเขาเขียนนิยายเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อ “ปลดปล่อยตัวเองจากแรงกดดันที่ไม่เคยสิ้นสุดในการทำภาพยนตร์”


แฮงส์ วัย 66 ปี ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบีบีซีเอาไว้ว่า การที่ต้องถ่ายหนังมาเป็นเวลายาวนาน มันทำให้ความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่องานดังกล่าวมันหมดไป
“บางครั้งคุณก็แค่ต้องการหาเหตุผลอะไรซักอย่างมาจุดจินตนาการของคุณขึ้นมาใหม่” แฮงส์กล่าว พร้อมบอกว่าเขาจะเขียนอยู่ตลอดเวลา และเขียนในหลากหลายรูปแบบ โดยเมื่อปี 2017 เขาก็ได้ตีพิมพ์หนังสือรวมเรื่องสั้นของตัวเองที่ชื่อ Uncommon Type ออกมาแล้ว ซึ่งมันขายได้มากกว่า 234,000 เล่ม เฉพาะในสหราชอาณาจักร
ส่วนหนังสือนิยายเล่มแรกที่มีความหนาร่วม 448 หน้านี้ ทอม แฮงส์บอกว่าเขาเริ่มเขียนในปี 2018
“ผมเขียนมันระหว่างการทำหนังเรื่องต่าง ๆ ผมเขียนทุกที่ ๆ ผมอยู่ ผมเขียนบนเครื่องบิน เขียนที่บ้าน เขียนตอนไปพักผ่อน เขียนในห้องพักโรงแรม เขียนในวันหยุดยาวที่ผมไม่ได้ทำงาน

นิยายของแฮงส์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำหนังแอคชั่นซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ที่มีต้นทุนหลายล้านดอลลาร์ โดยตัวละครในเรื่องก็มีหลากหลาย ทั้งผู้กำกับที่ไม่ค่อยจะปกติ นักแสดงชายผู้เอาตัวเองเป็นใหญ่ ทำให้การถ่ายทำต้องล่าช้า และปั่นป่วนตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม นิยายเรื่อง The Making of Another Major Motion Picture Masterpiece ของทอม แฮงส์ ไม่เข้าตานักวิจารณ์เท่าไรนัก นักวิจารณ์จากหนังสือพิมพ์ The Sunday Times ให้ความเห็นเอาไว้ว่านิยายเล่มนี้เหมือนการให้แฮงส์มาเล่าถึงการทำหนังด้วยท่าทีแบบผู้รู้ ขณะที่การเขียนก็เนิบช้าเกินไป
ทางด้านนักวิจารณ์จาก The Observer บอกว่าเป็นการพูดถึงเรื่องที่ซ้ำซากจำเจในวงการฮอลลีวู้ด แถมแฮงส์ยังไม่ได้นำเอาความสามารถแบบที่เขามีบนหน้าจอมาใส่เพื่อสร้างชีวิตชีวาให้กับตัวละคนในนิยายเลย
อย่างไรก็ตาม ทอม แฮงส์ไม่รู้สึกอะไรกับคำวิจารณ์นี้โดยเขาบอกว่า การมีงานประจำเป็นดาราหนังทำให้เขาสามารถรับมือการวิจารณ์วิจารณ์ได้ทุกเรื่อง
ทั้งนี้ แฮงส์อยู่ในวงการภาพยนตร์มา 40 กว่าปีแล้ว ทั้งเล่นหนัง เป็นผู้กำกับ และเป็นโปรดิวเซอร์มานับไม่ถ้วน ส่วนฝีมือด้านการแสดงนั้น เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม 2 ตัวจากเรื่อง Philadelphia (1994) และ Forrest Gump (1995) เป็นเครื่องยืนยันความสามารถ