ตกเป็นข่าวเมาท์มานานหลายปีว่าไม่ถูกกันเพราะผู้ชายชื่อ จัสติน บีเบอร์ ในที่สุด เซเลนา โกเมซ และ เฮลีย์ บีเบอร์ ก็สามารถสยบข่าวลือนี้ลงได้เสียทีด้วยการถ่ายรูปคู่กันออกสื่อในงาน อะคาเดมี มิวเซียม กาลา ซึ่งจัดขึ้นที่นครลอสแองเจลีส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา
ในภาพประวัติศาสตร์ของวงการบันเทิงชุดนี้ เซเลนาและเฮลีย์ถ่ายรูปคู่กันเอาไว้ 3 รูป มีทั้งรูปนั่งเอาหน้าแนบชิด และภาพยืนยิ้มกอดกันอย่างสดใส โดย ไทเรลล์ แฮมป์ตัน ผู้ถ่ายภาพชุดนี้ได้โพสต์รูปลงไอจีส่วนตัวของเขา พร้อมเขียนคำบรรยายเอาไว้ว่า “หักมุม” ซึ่งอาจสื่อความหมายความว่าทั้งคู่ไม่ได้เกลียดกันอย่างที่คนอื่นเข้าใจ

ทั้งนี้ สาเหตุที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองสาวซึ่งเป็นคนดังเบอร์ต้นๆ ของวงการบันเทิงกลับมาเป็นหัวข้อเมาท์กันอีกครั้งก็เนื่องมาจากเมื่อเดือนที่แล้ว เฮลีย์ บีเบอร์ ได้ไปออกรายการพอดคาสต์ชื่อ “คอลล์ เฮอร์ แดดดี้” แล้วมีการพูดพาดพิงไปถึงเรื่องที่เธอถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นมือที่ 3 ระหว่างจัสติน บีเบอร์ กับเซเลนา โกเมซ ส่งผลให้เธอถูกแฟน ๆ ของเซเลนาบูลลี่มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่ถ้าใครติดตามข่าวโดยละเอียดแล้วไปไล่ไทม์ไลน์ดูจะพบว่าเซเลนากับจัสตินนั้นรัก ๆ เลิกกันมาตลอดในช่วงระหว่างปี 2010-2017 ชนิดที่เรียกได้ว่าบ่อยจนไม่สามารถนับจำนวนครั้งได้ ส่วนจัสตินกับเฮลีย์นั้นเพิ่งจะมาประกาศหมั้นกันในปี 2018 แล้วก็แต่งงานกันในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ซึ่งในรายการพอดคาสต์ พิธีกรก็ยิงคำถามถึงเรื่องนี้ และได้คำตอบจากเฮลีย์ว่า ตอนที่เธอเดทกับจัสติน เขาไม่ได้คบใครอยู่ แล้วเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบไปยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้วด้วย มันไม่ใช่นิสัยของเธอเลย

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันต่อมา เซเลนา โกเมซ ก็ไลฟ์สดทาง TikTok แล้วพูดสิ่งที่คนเชื่อกันว่าน่าจะเป็นการตอบกลับสิ่งที่เฮลีย์เพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ นั่นคือการบอกว่าเธอไม่สนับสนุนการใช้คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง หรือ “เฮทสปีช” พร้อมทั้งขอร้องให้แฟนๆ ใจดีมีความเมตตากันหน่อย
“ฉันคิดถึงสิ่งที่ฉันไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยซ้ำ แต่มันเลวร้ายแล้วก็น่าสะอิดสะเอียน มันไม่ยุติธรรมเลยเพราะไม่สมควรมีใครถูกพูดถึงในแบบที่ฉันได้เห็นมา” เซเลนากล่าว พร้อมเสริมว่ามันลักลั่นมากเลยที่แฟน ๆ ซึ่งสนับสนุนเครื่องสำอางยี่ห้อ Rare Beauty ของเธอที่มีลิปสติกคอลเลคชัน Kind Words Matte Lipsticks ซึ่งมีคอนเซปต์ให้พูดจาดี ๆ ไม่ทำร้ายใคร แต่กลับกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นกลับไม่เข้าใจถึงผลกระทบของคำพูดที่มีต่อคนอื่น และใช้เฮทสปีชเสียเอง