จากกรณีของหนุ่ม “โอม ภวัต” นักแสดงสังกัด GMMTV ถูกแบรนด์สินค้ารายหนึ่งได้ออกมาประกาศ “ปลด” จากการเป็นพรีเซนเตอร์ โดยระบุว่า “เพราะดรามาในโลกออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตสมัยมัธยมต้นที่หนุ่ม “โอม” เคยบูลลี่เด็กพิเศษ” ซึ่งทาง “โอม” ได้ออกมายอมรับและโพสต์ขอโทษกับการกระทำในอดีตของตัวเองไปแล้ว
ทางแบรนด์สินค้าดังกล่าวได้อ้างว่ามีการติดต่อไปยังต้นสังกัดของศิลปิน แต่ต้นสังกัดเพิกเฉย จึงทำการถอด “โอม” จากพรีเซ็นเตอร์สินค้าดังกล่าว
ล่าสุด “คุณสุจรรยา วิลเลกัส” ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด มหาชน // เป็นตัวแทนของศิลปินและบริษัทออกมาแถลงถึงเหตุการณ์ของหนุ่ม “โอม” ในอดีตว่าไม่ได้เป็นความผิดต่อกฎหมาย และทาง GMMTV ก็ไม่ได้เพิกเฉยตามที่บริษัทคู่กรณีกล่าวอ้าง ได้มีการเจรจากันมาตลอด และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับศิลปินและบริษัทจึงจำเป็นที่จะต้องยื่นฟ้องดำเนินคดีบริษัทคู่กรณี เพื่อรักษาชื่อเสียง
“เนื่องจากว่ากรณีที่ทางบริษัท UGO Nutrition จำกัด ได้มีประกาศยุติบทบาทการเป็นพรีเซ็นเตอร์ของคุณโอม ภวัต จิตต์สว่างดี โดยที่ไม่มีเหตุผลอันควรในการที่ยุติบทบาทพรีเซ็นเตอร์อันนั้น รวมถึงทางจีเอ็มเอ็มทีวีไม่ได้มีการผิดสัญญาหรือผิดข้อตกลงใดๆ กับทางบริษัท UGO ซึ่งการที่ UGO ออกประกาศลักษณะแบบนั้นทำให้บริษัทและศิลปินก็คือคุณโอม ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
นับตั้งแต่มีกรณีพาดพิงคุณโอมในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นเรื่องในอดีตของคุณโอมในวัยเด็ก เป็นการกระทำที่ไม่ได้ขัดต่อกฎหมายนะคะ ต้องบอกแบบนี้ แล้วทางบริษัทเองไม่เคยเพิกเฉย เราไม่เคยนิ่ง เรามีการติดต่อเจรจากับทาง UGO มาตลอด มีการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน
เราเจรจากันมาหลายครั้ง จนถึงวันก่อนที่ทาง UGO จะมีประกาศตัวนั้นออกมาด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการที่ UGO มีประกาศยุติบทบาทพรีเซ็นเตอร์ออกมา ทางบริษัทจีเอ็มเอ็มทีวีได้รับความเสียหาย ทางจีเอ็มเอ็มทีวีและศิลปินเลยต้องขอความเป็นธรรมในกรณีนี้ เพื่อรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของบริษัท รวมถึงศิลปิน โดยเราคงต้องขอพึ่งทางกระบวนการของศาลยุติธรรม เพื่อสงวนไว้ซึ่งสิทธิ์และความเสียหายในเรื่องของชื่อเสียงของบริษัท และศิลปินต่อไปค่ะ”
เป็นไปได้หรือไม่ว่า จากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นกับโอมส่งผลกระทบกับทางแบรนด์ จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจยุติบทบาทการเป็นพรีเซ็นเตอร์ แม้สิ่งที่โอมทำจะไม่ผิดกฎหมาย แต่อาจจะผิดในแง่ของศีลธรรม?
“อันนี้ทางเราคงตอบไม่ได้ คงต้องถามทาง UGO ค่ะ แต่ในเงื่อนไขสัญญาไม่ได้มีระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ ตอนนี้ทางเราดำเนินการฟ้องไปแล้ว ยื่นฟ้องละเมิดค่าเสียหาย ส่วนจำนวนเงินที่ฟ้องไป อันนี้คงพูดไม่ได้เพราะเป็นข้อมูลในคดี”
หากทาง UGO ติดต่อมาขอไกล่เกลี่ย?
“จริงๆ มันอยู่ในกระบวนการของทางศาล ยังไงทางคู่ความอีกฝั่งหนึ่งเขาย่อมต้องได้รับคำฟ้องอยู่แล้วค่ะ กระบวนการทางศาลต้องเจอกันอยู่แล้ว ถามว่านอกรอบไม่มีแล้วใช่ไหม มันยังตอบไม่ได้ เรายังไม่ทราบ เพราะเรายังไม่ได้รับการติดต่อมาค่ะ”

การที่ตัดสินใจฟ้องเป็นเพราะทางนั้นเขาร่อนจดหมายออกมาใช่ไหม?
“เขาไม่ได้ร่อนจดหมายนะคะ อยู่ดีๆ เขาก็ประกาศ ทั้งที่เราเจรจากันตลอดเรื่อยมา จนก่อนวันประกาศเราก็ยังมีการคุยกัน แต่อยู่ดีๆ เขาก็ประกาศ ซึ่งทางเราไม่ทราบค่ะ”
หลังจากที่เขาประกาศไปแล้ว บริษัทได้รับผลกระทบเยอะไหม?
“ก็จากที่สื่อออกข่าวก็มีผลกระทบกับชื่อเสียงของน้องและบริษัทค่ะ (จากดราม่านี้ยังมีผลกระทบกับสินค้าอื่นๆ หรืองานอื่นๆ ของโอมอีกไหม?) ตอนนี้ยังไม่มีผลกระทบค่ะ”
มองกระแสดราม่าของโอมยังไง เพราะหลายคนมองว่าบริษัทไม่ได้ออกมา Take Action อะไรเลย?
“ทางบริษัทมองว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดในอดีตและเป็นเรื่องในวัยเด็ก โดยทางโรงเรียนก็ได้ลงโทษตามระเบียบของโรงเรียน เขาได้รับการลงโทษไปแล้ว น้องเองก็ได้ขอโทษไปแล้ว และมันไม่ใช่เป็นเรื่องที่กระทำผิดต่อกฎหมายว่ากันอย่างนั้นเถอะ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้นิ่งเฉย แต่นี่คือเหตุผลอย่างที่บอกว่าเป็นเรื่องในอดีต และเขาได้รับการลงโทษตามวัยของเขา คือตอนนั้นเขายังเด็กอยู่”



แต่คนก็ยังขุดเรื่องนี้ออกมาอีก เพราะต้องการให้บริษัทออกมาพูดบ้าง?
“คืออันนี้คิดว่าในแง่ของคนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์เราคงห้ามไม่ได้ว่าใครจะคิดยังไง แต่ในแง่ของบริษัทมองที่ความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น ความเป็นมนุษย์ค่ะ คือมันต้องดูจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมากกว่าที่จะไปตัดสินตามกระแสสื่อสังคมค่ะ”
ตอนนี้สภาพจิตใจของโอมเป็นยังไงบ้าง?
“ก็คงไม่ดีหรอกค่ะ”
โอมโดนโจมตีในโซเชียลเยอะ เขามาขอให้ดูแลเรื่องกฎหมายไหม?
“อันนี้ยังไม่ทราบเรื่องนะคะ เพราะถ้าเราจะดูก็คงเป็นในแง่ของเรื่องการกระทำที่ละเมิดหรือขัดต่อกฎหมาย ละเมิดสิทธิของน้อง เราถึงจะดูค่ะ”
การที่บริษัทยื่นฟ้องทางแบรนด์นั้น กลัวคนจะมองว่าค่ายปกป้องโอมเกินไปไหม?
“ต้องบอกว่าอันนี้เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและเป็นเรื่องของธุรกิจนะคะ มันเกิดขึ้นจริง อย่างที่แจ้งว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายยุติการเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับกระแสสังคมจะตัดสินจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นค่ะ”